AGM-158 JASSM
AGM-158
JASSM
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 กองทัพอากาศสหรัฐฯ (USAF)
ได้มองหาอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนแบบใหม่ที่มีความแม่นยำสูง ที่สามารถเจาะระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียได้
เช่น S-300 และระบบที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ อาวุธใหม่นี้ถูกวางแผนให้บรรทุกโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์พิสัยทำการไกลของสหรัฐฯ
อย่าง B-1 Lancer และ B-2 Spirit
รุ่นใหม่ที่เข้าประจำการในปี 1993 เพื่อตอบสนองความต้องการนี้
บริษัท Lockheed Martin ได้นำเสนอการออกแบบ AGM-158 เพื่อเข้าแข่งขันกับ AGM-159 ที่เสนอโดย McDonnell
Douglas Lockheed Martin เริ่มพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนปล่อยทางอากาศใหม่นี้ในปี
1995 และในปี 1998 AGM-158 ก็ได้รับการคัดเลือกโดยกองทัพอากาศสหรัฐฯ
Lockheed Martin ได้รับสัญญาการพัฒนาและรวมถึงการพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีประเภท
Joint Air-to-Surface Standoff Missile
(JASSM) การทดสอบเริ่มขึ้นในปี 1999 การพัฒนาเสร็จสมบูรณ์ในปี 2003 มีคำสั่งการผลิตครั้งแรกในปี 2004 คาดว่ามีการเริ่มส่งมอบในปี
2005 อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นอาวุธปล่อยนำวิถีบางลูกเกิดการล้มเหลวในการปล่อย
ในปี 2007-2008 กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (Pentagon) มีแผนที่จะทิ้งโครงการนี้
แต่ในที่สุด Lockheed Martin ก็แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้
ในปี 2010 มีการส่งมอบอาวุธปล่อยนำวิถีนี้ทั้งหมด 1,000 ลูก มีการวางแผนว่าอาวุธปล่อยนำวิถี JASSM ทั้งหมด 4,900
ลูก จะถูกผลิตขึ้นสำหรับกองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปี 2016 มีการส่งมอบ AGM-158A JASSM และ AGM-158B
JASSM-ER ที่เพิ่มระยะทำการ
ทั้งหมด 2,000 ลูก กองทัพเรือสหรัฐฯมีแผนที่จะจัดซื้ออาวุธปล่อยนำวิถี AGM-158A จำนวน 450 ลูก แต่ในที่สุดก็ทิ้งแผนการดังกล่าวนี้และมุ่งเป้าไปที่การจัดหาอาวุธปล่อยนำวิถี SLAM-ER ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว อาวุธปล่อยนำวิถีร่อน JASSM ถูกส่งออกไปยังประเทศออสเตรเลีย ฟินแลนด์ และโปแลนด์
AGM-158 JASSM เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนที่มีความแม่นยำสูง บทบาทหลักของอาวุธนี้คือการโจมตีเป้าหมายที่มีคุณค่าโดยไม่ต้องเข้าไปในเขตป้องกันภัยทางอากาศของศัตรู อาวุธปล่อยนำวิถีนี้มีระยะทำการประมาณ 370 กิโลเมตร สามารถปล่อยอาวุธในระยะที่ไกลเกินกว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของศัตรู JASSM ติดตั้งหัวรบระเบิดแรงสูงแตกสะเก็ด (HE-FRAG) น้ำหนัก 450 กิโลกรัม อาวุธปล่อยนำวิถีนี้มีระบบนำทางเฉื่อยมาพร้อม GPS ที่มีการปรับปรุงใหม่ นอกจากนี้มันยังใช้ IR seeker สำหรับการนำทางในช่วงสุดท้าย อาวุธนี้มีความแม่นยำสูง กองทัพอากาศสหรัฐฯรายงานว่า AGM-158 มีค่าความคลาดคลื่อน (CEP) เพียง 3 เมตรเท่านั้น
ในขณะบรรทุก ปีกและครีบของมันจะถูกพับเก็บ และจะกางออกเมื่ออาวุธถูกปล่อย อาวุธปล่อยนำวิถีนี้เดินทางด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าความเร็วเสียง มันยากที่จะตรวจจับและสกัดกั้นได้
เนื่องจากมีการลดส่วนตัดผ่านของเรดาร์และมันมีการแผ่รังสีความร้อนต่ำ การสเตลท์ของมันทำให้ง่ายต่อการเอาชนะระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูงของรัสเซีย อย่าง S-300 และ S-400
เครื่องบินทิ้งระเบิด B-1 Lancer สามารถบรรทุก JASSM ได้จำนวน 24 ลูก เครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์
B-2 Spirit สามารถบรรทุกอาวุธนี้ได้
16 ลูก ในขณะที่เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52H Stratofortress สามารถบรรทุกอาวุธนี้ได้
20 ลูก อาวุธปล่อยนำวิถีนี้สามารถใช้ได้กับเครื่องบินขับไล่หลากหลายบทบาทแบบ F/A-18E และ F/A-18F รวมทั้งเครื่องบินขับไล่โจมตีภาคพื้นดินแบบ F-15E
และเครื่องบินขับไล่หลากหลายบทบาทแบบ F-16 เครื่องบินขับไล่เหล่านี้สามารถบรรทุกอาวุธปล่อยนำวิถีโจมตีภาคพื้นดินนี้ได้หนึ่งหรือสองลูก
AGM-158 ยังสามารถบรรทุกไว้ภายในช่องเก็บอาวุธของเครื่องบินขับไล่สเตลท์หลากหลายบทบาทแบบ F-35 นอกจากนี้ F-35 ยังสามารถบรรทุกอาวุธนี้ได้จากตำบลติดอาวุธภายนอก
แต่จะส่งผลต่อคุณลักษณะการตรวจจับได้ยากของเครื่องบิน
อาวุธปล่อยนำวิถี AGM-158 JASSM มีราคาลูกละประมาณ 850,000 เหรียญสหรัฐฯ ส่วนอาวุธปล่อยนำวิถี AGM-158B JASSM-ER มีราคาลูกละประมาณ 1.359 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สายพันธุ์
AGM-158A เป็นรุ่นพื้นฐานที่อธิบายไว้ในบทความนี้ การพัฒนาอาวุธปล่อยนำวิถีนี้เสร็จสมบูรณ์ในปี
2003 และการผลิตเริ่มขึ้นในปีถัดมา ในปี 2015 ได้มีการประกาศให้รุ่น
AGM-158A เดิมยกเลิกการผลิตเพื่อไปสนับสนุนการใช้อาวุธปล่อยนำวิถี AGM-158B JASSM-ER ที่มีการเพิ่มระยะทำการ
AGM-158B JASSM-ER เป็นรุ่นที่มีการเพิ่มระยะทำการ มีระยะทำการกว่าสองเท่าของ
AGM-158 JASSM รุ่นพื้นฐาน อันเนื่องจากเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและถังเชื้อเพลิงขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตามขนาดภายนอกของมันนี้มีขนาดเท่ากัน ดังนั้นอาวุธปล่อยนำวิถีเหล่านี้จึงไม่สามารถแยกแยะได้ด้วยลักษณะที่ปรากฏภายนอก
JASSM-ER มีระยะทำการ 930 กิโลเมตร สามารถบรรทุกโดยเครื่องบินทิ้งระเบิด
B-1 Lancer มีการทดสอบครั้งแรกเมื่อปี 2006
การผลิตในอัตราที่ต่ำเริ่มในปี 2011 กองทัพอากาศสหรัฐฯประสบความสำเร็จในการทดสอบและประเมินผลอาวุธนี้ในปี
2013 และได้มีการนำเข้าประจำการในปี 2014 JASSM-ER ถูกใช้ในการต่อสู้ครั้งแรกในปี 2018 มันถูกปล่อยเพื่อโจมตีเป้าหมายในซีเรีย อเมริกาอ้างว่าในระหว่างการต่อสู้
ระบบป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซียและซีเรียล้มเหลวในการสกัดกั้น JASSM-ER
แม้แต่ลูกเดียว มีการวางแผนที่จะให้อาวุธปล่อยนำวิถีนี้เข้ามาแทนที่อาวุธปล่อยนำวิถีร่อนปล่อยทางอากาศแบบ AGM-86C CALCM
AGM-158C Long Range Anti-Ship Missile (LRASM) เป็นอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนต่อต้านเรือผิวน้ำ
โครงการพัฒนาดังกล่าวเริ่มขึ้นในปี 2009 มีพื้นฐานมาจาก AGM-158B JASSM-ER นักพัฒนาอ้างว่ามันนี้มีระยะทำการมากกว่า
370 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามบางแหล่งคาดการณ์ว่ามันอาจมีระยะทำการถึง 560 กิโลเมตร
โดยพิจารณาจาก AGM-158B JASSM-ER ต้นแบบพื้นฐานของมันที่มีระยะทำการ
930 กิโลเมตร อาวุธปล่อยนำวิถีนี้บรรทุกหัวรบน้ำหนัก 450 กิโลกรัม มีกำหนดให้เข้าประจำการในกองทัพอากาศสหรัฐฯในปี
2018 และกับกองทัพเรือสหรัฐฯในปี 2019 ในรุ่นของกองทัพเรือสหรัฐฯจะบรรทุกโดยเครื่องบินขับไล่
F/A-18E และ F/A-18F
Super Hornets ครั้งหนึ่งเคยมีการติดตั้งอาวุธนี้และสามารถทำการยิงได้จากระบบปล่อยอาวุธแนวดิ่งแบบ
Mk.41 ที่ใช้ในเรือรบของสหรัฐฯจำนวนมาก
ข้อมูลจำเพาะ
ประเภท : อาวุธปล่อยนำวิถีร่อนปล่อยทางอากาศ
สัญชาติ : สหรัฐอเมริกา
ผู้ผลิต : Lockheed
Martin
เริ่มเข้าประจำการ :
~2005
ความยาวอาวุธ : 4.27 เมตร
ความกว้างอาวุธ : 0.55 เมตร
ความยาวระหว่างปลายปีกทั้งสองข้าง : 2.4 เมตร
น้ำหนักอาวุธ : 975 กิโลกรัม
น้ำหนักหัวรบ : 450
กิโลกรัม
ประเภทหัวรบ :
HE-FRAG
ระยะยิง
- 370 กิโลเมตร ( AGM-158A JASSM)
- 930 กิโลเมตร (AGM-158B JASSM-ER)
- ~560 กิโลเมตร (AGM-158C LRASM)
- 370 กิโลเมตร (
- 930 กิโลเมตร (AGM-158B JASSM-ER)
- ~560 กิโลเมตร (AGM-158C LRASM)
ค่าความคลาดคลื่อน (CEP) : 3 เมตร
เครื่องยนต์ :
Teledyne CAE J402-CA-100 turbojet
ประเทศผู้ใช้งาน
สหรัฐอเมริกา
ออสเตรเลีย
ฟินแลนด์
โปแลนด์
อ้างอิง
Photo
wikimedia.org, nationalinterest.org, lasg.org






ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น