Carlo Bergamini class
Carlo
Bergamini class
Carlo
Bergamini class เป็นหนึ่งในเรือที่อยู่ในโครงการพัฒนาเรือฟริเกตหลากหลายภาริกจ FREMM ระหว่างฝรั่งเศสกับอิตาลี แม้ว่า Carlo Bergamini class ของอิตาลี และ Aquitaine class ของฝรั่งเศส จะดูแตกต่างกัน
แต่ระบบย่อยบางส่วนของพวกมันสามารถใช้งานร่วมกันได้ Carlo Bergamini class มีความคล้ายคลึงกับ Horizon class ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโครงการที่พัฒนาร่วมกันระหว่างฝรั่งเศสและอิตาลี
Carlo Bergamini class นั้นถูกจัดอยู่ในประเภทเรือพิฆาต แต่ด้วยเหตุผลทางการเมืองมันจึงถูกเรียกว่าเรือฟริเกต
เรือชั้นนี้มีขนาดใหญ่กว่าเรือ Aquitaine class ของฝรั่งเศส
Carlo
Bergamini class มีสองรุ่น หนึ่งในนั้นคือเรือรบสำหรับภารกิจทั่วไป
มีลักษณะเด่นในด้านการปฏิบัติภารกิจสงครามทางเรือ ในขณะที่อีกรุ่นได้รับการปรับให้เหมาะสมกับภารกิจสงครามต่อต้านเรือดำน้ำ
มีความสามารถในการไล่ล่าเรือดำน้ำ แต่ต้องแลกมาด้วยความสามารถในการโจมตีภาคพื้นดินและการต่อต้านเรือผิวน้ำที่ลดลง
อิตาลีได้สั่งจัดซื้อเรือรบแบบภารกิจทั่วไปจำนวน 6 ลำ และอีก
4 ลำ เป็นแบบภารกิจสงครามต่อต้านเรือดำน้ำ เรือลำแรกถูกส่งมอบและขึ้นระวางประจำการในกองทัพเรืออิตาลีในปี
2013 และลำสุดท้ายมีแผนที่จะสร้างเสร็จและขึ้นระวางประจำการได้ในปี 2021 เรือชั้นนี้มีการเพิ่มคุณสมบัติการตรวจจับได้ยาก
เช่น การลดส่วนตัดผ่านเรดาร์ และการลดระดับการแพร่เสียงตัวเรือ ในรุ่นภารกิจทั่วไปจะมีลูกเรือจำนวน
199 นาย ในขณะที่รุ่นสำหรับปฏิบัติภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำจะมีลูกเรือ 201 นาย
เรดาร์พื้นฐาน คือ เรดาร์อเนกประสงค์แบบ Selex MFRA ที่สามารถตรวจจับเป้าหมายทางอากาศได้ในระยะมากกว่า 400 กิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการยิงสำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันภัยทางอากาศ
ระบบปล่อยอาวุธแนวดิ่ง (VLS) 16 ช่อง สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่อากาศแบบ
Aster-15 และ Aster-30 ระยะยิงของ Aster-15 มีระยะยิงประมาณ 30 กิโลเมตร ในขณะที่ Aster-30
มีระยะยิงประมาณ 120 กิโลเมตร อย่างไรก็ตามช่องยิงขีปนาวุธ 16 ช่อง นั้นมีจำนวนค่อนข้างน้อย
เมื่อเทียบกับขนาดเรือที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ในรุ่นสำหรับภารกิจทั่วไป มีการติดตั้งปืน
Otobreda ขนาด 127 มิลลิเมตร และ OTO Melara ขนาด 76 มิลลิเมตร อย่างละหนึ่งกระบอก
ส่วนรุ่นสำหรับภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำมีการติดตั้งปืน OTO Melara ขนาด 76 มิลลิเมตร สองกระบอก ปืน 76 มิลลิเมตร
เป็นอาวุธแบบอเนกประสงค์ มีความสามารถในการโจมตีเป้าหมายทั้งทางภาคพื้นและอากาศ ปืนเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นระบบอาวุธป้องกันตนเองระยะประชิด
สำหรับการป้องกันขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามาในระยะสุดท้าย นอกจากนี้ยังมีปืนใหญ่ควบคุมระยะไกลขนาด
25 มิลลิเมตร ซึ่งใช้ในการโจมตีภัยคุกคามที่เป็นเรือผิวน้ำขนาดเล็ก ในรุ่นสำหรับภารกิจทั่วไป
มีการติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือผิวน้ำแบบ OTOMAT จำนวน 4 ลูก ที่มีระยะยิงประมาณ 200 กิโลเมตร ส่วนรุ่นสำหรับภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำมีการติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือดำน้ำแบบ
MILAS จำนวน 4 ลูก และช่องปล่อยตอร์ปิโดในตัวเรือแบบควบคุมระยะไกล
นอกจากนี้ยังมีสองแท่นปล่อยตอร์ปิโดแฝดสามสำหรับตอร์ปิโดเบาแบบ EUROTORP MU90 ซึ่งติดตั้งอยู่ในเรือรบทั้งสองรุ่น
เรือชั้นนี้มีโรงเก็บเฮลิคอปเตอร์ ที่สามารถรองรับเฮลิคอปเตอร์แบบ NH90 ได้สองลำ หรือ NH90 และ AW101
อย่างละลำ เฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัย ภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำ ภารกิจต่อต้านเรือผิวน้ำ
และภารกิจอื่นๆ
Carlo
Bergamini class ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ผสมดีเซล ไฟฟ้า และแก๊ส (CODLAG) ที่มีความทันสมัย สำหรับการใช้งานปกติจะใช้เครื่องยนต์กังหันก๊าซ General
Electric LM2500+G4 หนึ่งเครื่อง ที่ให้กำลัง 42,900 แรงม้าที่เพลา สำหรับการปฏิบัติภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำที่ต้องการความเงียบ
เรือจะใช้เครื่องยนต์ไฮบริดไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 2.5 เมกกะวัตต์
สองตัวที่เชื่อมต่อกับเพลาใบพัด ซึ่งได้รับพลังงานมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล 4
เครื่อง ความเร็วสูงสุดคือ 29 นอต (55 กิโลเมตร/ชั่วโมง) มีระยะปฏิบัติการสูงสุดคือ
6,700 ไมล์ทะเล (12,300 กิโลเมตร) ที่
15 นอต (28 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ดังนั้นเรือของอิตาลีจึงมีความเร็วมากกว่าและมีระยะปฏิบัติการไกลกว่าเรือที่อยู่ในโครงการเดียวกันอย่าง
Aquitaine class ของฝรั่งเศสเพียงเล็กน้อย
โดยรวมแล้วเรือ Carlo Bergamini class ของอิตาลีมีขนาดที่ใหญ่กว่าและมีความยอดเยี่ยมในหลายๆด้านมากกว่าเรือ
Aquitaine
class ของฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามเรือรบของอิตาลีลำนี้ก็ไม่ได้บรรทุกอาวุธปล่อยนำวิถีร่อนโจมตีภาคพื้นดิน ที่มีอยู่ในเรือฟริเกตของฝรั่งเศส
ข้อมูลจำเพาะ
ประเภท : เรือพิฆาต
สัญชาติ : อิตาลี
ผู้ใช้งานหลัก : กองทัพเรืออิตาลี
ขึ้นระวางประจำการ : 2013
เจ้าหน้าที่ประจำเรือ (ภารกิจทั่วไป) : 199 นาย
เจ้าหน้าที่ประจำเรือ (ภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำ) : 201 นาย
ขนาดและน้ำหนัก
ความยาว : 144.6 เมตร
ความกว้าง : 19.7 เมตร
กินน้ำลึก : 8.7 เมตร
ระวางขับน้ำมาตรฐาน : ไม่ทราบ
ระวางขับน้ำเต็มพิกัด : 6,900 ตัน
เครื่องยนต์และประสิทธิภาพการทำงาน
เครื่องยนต์ : CODLAG
ขับเคลื่อนด้วย 1 x เครื่องยนต์กังหันก๊าซ General
Electric LM2500+G4 (42,900
แรงม้าที่เพลา), 2 x มอเตอร์ไฟฟ้า (2.5 เมกกะวัตต์) และ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซล 4 เครื่อง
ความเร็ว : 29 นอต
พิสัยปฏิบัติการ : 6,700 ไมล์ทะเล (12,300 กิโลเมตร) ที่ 15 นอต
อากาศยาน
เฮลิคอปเตอร์ : 2 x
NH90 หรือ AW101
อาวุธยุทธภัณฑ์
ปืนใหญ่ (ภารกิจทั่วไป) : 1 x Otobreda ขนาด 127 มิลลิเมตร และ 1 x OTO Melara ขนาด 76 มิลลิเมตร
ปืนใหญ่ (ภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำ) :
2 x OTO Melara ขนาด 76 มิลลิเมตร
อาวุธปล่อย : 16-cell
VLS สำหรับอาวุธปล่อยนำวิถีป้องกันภัยทางอากาศแบบ Aster-15
และ Aster-30, 4 x อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำแบบ OTOMAT (รุ่นภารกิจทั่วไป), 4 x อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือดำน้ำแบบ MILAS (รุ่นภารกิจต่อต้านเรือดำน้ำ)
ตอร์ปิโด : 2
x แท่นปล่อยตอร์ปิโดแฝดสามสำหรับตอร์ปิโดเบา MU90
ระบบอำนวยการรบ
เซ็นเซอร์และระบบการประมวลผล :
เรดาร์ค้นหาเป้าหมายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ของ Leonardo
Kronos Grand Naval (MFRA)
เรือในชั้นนี้
1. Carlo Bergamini (F590)
2. Virginio Fasan (F591)
3. Carlo Margottini (F592)
4. Carabiniere (F593)
5. Alpino (F594)
6. Luigi Rizzo (F595)
7. Federico Martinengo (F596)
8. Antonio Marceglia (F597) - คาดว่าจะขึ้นระวางประจำการภายในปี 2019
9. Spartaco Schergat (F598) - คาดว่าจะขึ้นระวางประจำการในปี 2020
10. Emilio Bianchi (F599) - คาดว่าจะขึ้นระวางประจำการในปี 2021
อ้างอิง
Photo
naval.com.br, marina.difesa.it, pressmare.it, bemil.chosun.com









ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น